ยายวัย 84 เฮลั่นขอบคุณอำเภอฯขอบคุณผู้สื่อข่าวภายหลังไม่มีบัตรประชาชนไร้การดูแลจากภาครัฐกว่า 50 ปี
วันที่ กค.2567
ผู้สื่อรายงานว่า เมื่อวันที่ 13 พค.2567 ที่ผ่านมา ได้ลงพื้นที่ไปยังบ้านเลขที่ 69 ม.3 ต.ทุ่งยั้ง อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์ ภายหลังจากได้รับเรื่องร้องขอความช่วยเหลือ เนื่องจากเป็นบุคคลที่ตกอยู่ในสถานะคนไทยไร้สิทธิในการรักษาพยาบาล สิทธิผู้สูงอายุ และสวัสดิการต่างๆจากหน่วยงานภาครัฐ เหตุคือ บัตรประชาชนหมดอายุตั้งแต่อายุ 25 ปี จนอายุปัจจุบันย่างเข้า 84 ปีแล้ว
เมื่อไปถึงได้พบกับ นาง ประครอง ซึ่งป่วยเป็นโรคหลอดเลือดตีบ เดินไปไหนมาไหนไม่ได้ต้องใช้ไม้ค้ำ 4 ขา เวลาเดิน และมีอาการหูไม่ค่อยได้ยินตามองไม่ค่อยเห็นอาศัยอยู่กับสามีที่มีขาพิการ(ขาขาด)เนื่องจากเกิดอุบัติเหตุรถชนเมื่อหลายปีก่อน นางประครอง เล่าว่า ตนเองเป็นคนกำแพงเพรช ออกจากบ้านมาตั้งแต่อายุ 25 ปี ซึ่งไม่เคยได้กลับบ้านเลยจึงไม่ได้ต่อบัตรประชาชน(สมัยก่อนการต่อบัตรต้องไปต่อภูมิลำเนา)จึงไม่ได้รับสิทธิการรักษาโรพยาบาล สิทธิผู้สูงอายุ สิทธิต่างๆที่ทางรัฐจัดสวัสดิการให้ ประกอบกับตนเองอ่านหนังสือไม่ออกเขียนไม่ได้ เพราะไม่ได้เรียนหนังสือ นางประครองมีลูกชาย 1 คน แต่ปัจจุบันไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน และเคยได้ประสานขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานบางหน่วยงานแต่ก็ไร้วี่แววที่จะได้รับบัตรประชาชน
ทั้งนี้ทางด้านผู้สื่อข่าวจึงได้นำเรื่องดังกล่าวแจ้งให้นายภูริวัจน์ โชตินพรัตน์ นายอำเภอลับแล ทราบ ทางด้านนายอำเภอจึงได้ให้ นส. ณัฐพร จารุรัตนศุภมิตร ปลัดอำเภอ(เจ้าพนักงานปกครองชำนาญการ)งานทะเบียนและบัตร ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อมูลจากภูมิลำเนา ตรวจสอบเอกสารต่างๆให้สอดคล้องกับ
การแก้ไขปัญหาคนไทยที่มีปัญหาสถานะทางทะเบียน “130 ปี กระทรวงมหาดไทย อยู่ที่ไหนใส่ใจดูแล” เนื่องในโอกาสการสถาปนา กระทรวงมหาดไทยครบ 130 ปี
ซึ่ง นส. ณัฐพร ปลัดอำเภอ ได้รับดำเนินการ ภายหลังจากการตรวจสอบข้อมูลครยถ้วนถูกต้องแล้ว ในวันนี้(25 กค.2567)ได้จัดหน่วยบริการจัดทำบัตรประชาชนเคลื่อนที่ (Mobile Unit) ของอำเภอลับแล ได้ออกมาที่บ้านนางประครอง ในการดำเนินการออกบัตรประชาชนให้โดยมีนายภูริวัจน์ โชตินพรัตน์ นายอำเภอลับแล ได้เดินทางมามอบบัตรประชาชนให้ ทันทีที่นางประครอง ได้รับบัตรประชาชนใหม่จากที่ไม่มีบัตรประชาชนมาแล้วมากกว่า 50 ปี ได้แสดงอาการรดีใจเป็นอย่างมาก เพราะหากเจ็บป่วยก็จะมีสิทธิบัตรทองดูแล เข้ารักษาพยาบาลได้เหมือนกับประชาชนทั่วไป ตนรู้สึกเบาใจที่ได้รับการประสานงานผู้สื่อข่าวและผู้ที่เกี่ยวข้องทางภาครัฐและเอกชนเพื่อให้ได้รับสิทธิที่เท่าเทียมกัน เพราะถึงอย่างไรก็เป็นคนไทยคนหนึ่งเหมือนกัน
รายงาน ภากร แหลมหลัก